ใบไม้เปลี่ยนสีที่ ชิราคาวาโกะ


ทริป นาโกย่า หมู่บ้าน ชิราคาวาโกะ ทาคายาม่า โอซาก้า นาโกย่า 5 วัน 3 คืน5   เดินทางโดยสายการบิน JAPAN AIRLINES (JL)



หมู่บ้าน ชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านชาวนาที่กลายมาเป็นมรดกโลกลำดับที่ 6 ของญี่ปุ่น ด้วยเอกลักษณ์ของบ้านทุกหลังที่จะสร้างเหมือนๆกัน ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Gassho-zukuri คือหลังคายกสูงเชื่อมด้วยคานไม้รูปทรงสามเหลี่ยม และมีความลาดชันมาก คล้ายๆการพนมมือไหว้ (ภาษาญี่ปุ่น ออกเสียงว่า Gassho นั่นเอง) ซึ่งข้อดีของการออกแบบบ้านในลักษณะนี้คือ จะทำให้หิมะไม่สามารถสะสมบนหลังคาได้ ทำให้หลังคาไม่พังปัจจุบัน หมู่บ้านนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ มีร้านค้าร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และร้านกาแฟ และบางหลังยังเปิดเป็นโฮมสเตย์ด้วย (ถ้าจะไปพักที่นี่จริงต้องจองไปก่อนนานๆเลยค่ะ)

บรรยากาศ ต้นไม่ที่กำลังเปลียนสี






ป้ายบอกทางว่าเราควรเดินไปทางไหน






ไหนๆก็มาถึงแล้ว ก็ถ่ายรูปกับวิวสวยๆสักหน่อย






แบบจำลองของบ้านกัสโซ่






ทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อเข้าชมบรรยากาศที่หน้าจดจำ






สะพานที่จะเดินข้ามไปยังตัวหมู่บ้าน






บรรยากาศรอบๆหมู่บ้านที่เป็นมรดกโลก




ใบไม้เปลี่ยนสี ก็ต้องถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึก 

สถานที่ ที่เราจะไปกันต่อคือ นะบะนาโนะ ซาโตะ





ไฮไลท์ยามค่ำคืนของทริปนี้จะเป็นที่ไหนไม่ได้เลย คือ  Nabana no Sato งานแสดงไฟสวยๆ ที่เมืองนาโกย่าอันโด่งดังไปทั่วโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ คือ ปลายเดือนพฤศจิกายน - เดือนพฤษภาคม ของทุกปีไฮไลท์การแสดงคือ อุโมงค์ไฟนับล้านๆ ดวง (มีทุกปี) ส่วนการแสดงไฟ แสง สี เสียงในปีนี้ จะเป็น  คุมาโมโต้ มาเต้นให้ชม พร้อมอธิบายเรื่องราวของเมือง คุมาโมโต้ 

ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) คนละ 2,300 เยน 
(มีคูปองคืนให้ท่านละ 1000 เยน )
วันเวลาทำการ :  Nabana no sato  
เปิดทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่ 9.00 - 21.00  
เสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ 9.00 - 22.00 .
เริ่มเปิดไฟ Illumination ตั้งแต่เวลา 17.05 .





จากนั้นก็มาถึงจุดแรกของการแสดงไฟ ตั้งชื่อให้เองเลยว่า "ทุ่งทะเลไฟ" ไฟสวยๆ 
สีน้ำเงินดุจท้องทะเล





อุโมงค์ไฟ Winter Illumination Tunnel ความยาวกว่า 200 เมตร อุโมงค์นี้อุโมงค์เดียวใช้ไฟไปกว่า 1.2 ล้านดวง ถือเป็นไฮไลท์เด็ดของงานเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทุกคนต้องใช้เวลากันที่นี่ไม่ต่ำกว่าครึ่งชม.ในการชื่นชมความงาม เก็บภาพสวยๆ บรรยากาศเสมือนเดินอยู่ท่ามกลางดวงดาวในโลกแห่งความฝัน










บรรยากาศภายในอุโมงค์ที่งดงาม





โบสถ์จำลองที่ประดับด้วยไฟนับพันดวงที่สวยงาม






ใบไม้เปลี่ยนสีแดงสลับเขียว ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ






ปีนี้ธีมที่จัดการแสดง เป็นคุมะมง




บัตรเข้าชม วัดน้ำใส หรือภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า วัด คิโยมิสึเดระ



บรรยากาศจากด้านบนของวัด ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง











วัดโทไดจิ สร้างขึ้นในปี 734 ในฐานะที่เป็นวัดหลวงประจำชาติ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของนารา ในสมัยโบราณเรียกว่า เฮโจ (Heijo) ความหมายของโทไดจิคือ วัดใหญ่ทางทิศตะวันออก (ของเมืองหลวง) ในยุคนั้นราชสำนักญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักถังแห่งจีน และราชอาณาจักรซิลลา (Silla) หรือเกาหลีในปัจจุบัน จึงได้รับแบบแผนธรรมเนียม และวัฒนธรรมมาจากราชสำนักทั้งสองในขณะนั้นญี่ปุ่นยังไม่เป็นเอกภาพ อำนาจยังกระจัดกระจายไปยังกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะขุนศึกในท้องถิ่นต่าง ๆ สมเด็จพระจักรพรรดิ์โชมุ (Shomu) ทรงเห็นว่าจักรววรดิจีนนั้นได้ใช้ พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างเอกภาพของจักรวรรดิ์ ดังนั้นจึงโปรดให้สถาปนาวัดโทไดจิขึ้น ในฐานะที่เป็นวัดหลวงประจำชาติ และเพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างวัดทั่วราชอาณาจักรพระวิหารหลวงที่ประดิษฐานองค์ไดบุทสึนั้น ถือเป็นอาคารโครงสร้างไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในโลก วิหารหลังปัจจุบันมีขนาดเพียง 1 ใน 3 (ข้อมูลไม่เหมือนกันแล้วค่ะ บางที่บอกสองในสาม) ของวิหารที่สร้างขึ้นครั้งแรก โดยมีความสูง 157 ฟุต ความยาว 187 ฟุตวัดโทไดจิได้ถูกเผาถึง 2 ครั้ง และได้รับการบูรณะใหม่ 2 ครั้งเช่นเดียวกัน การเผาครั้งแรกเกิดขึ้นในสงครามกลางเมือง ที่เรียกว่าสงครามเกนเป (Genpei civil war) เกิดขึ้นประมาณ 400 ปีหลังการสถาปนาวัด ในขณะนั้นพระราชอำนาจของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ถูกถ่ายโอนไปยังขุนศึกต่าง ๆ โดยเฉพาะ เฮอิเกะ (Heike) แห่งตระกูลไทระ (Taira family) ราชสำนักพยายามดึงอำนาจคืน โดยการสนับสนุน เกนจิ (Genji) แห่งตระกูลมินาโมโต (Minamoto family) เพื่อคานอำนาจกับเฮอิเกะ และเมื่อความขัดแย้งถึงที่สุดจึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ฝ่ายเฮอิเกะเห็นว่าวัดโทไดจิ เป็นวัดที่สนับสนุนพระราชอำนาจของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ จึงได้เผาวัดโทไดจิเพื่อประกาศอำนาจของตน การเผาวัดโทไดจิเป็นการทำลายวัฒนธรรมเทมเปียวไปอย่างน่าเสียดายภายหลังจากที่สงครามสงบ ตะกูลมินาโมโตสามารถกุมอำนาจได้ พระอาจารย์โจเกน (Chogen) และโชกุน มินาโมโต โยริโตโม จึงได้เริ่มบูรณะวัดโทไดจิใหม่อีกครั้งหนึ่ง พระอาจารย์โจเกน ได้เดินทางไปหาไม้ซุง เพื่อบูรณะวัดโทไดจิยังป่าต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น ดังได้มีปันทึกว่า“ในที่สุดท่านก็ได้พบไม้ซุงที่ภูเขาโยชิโน (Yoshino) (พื้นที่ป่าไม้ที่มีชื่อเสียง ในตอนกลางของญี่ปุ่น) 2 ปีต่อมาท่านได้เดินทางไปสุโว (Suwo) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเพื่อหาไม้เพิ่มเติม ในปีต่อมาท่านได้พบไม้ที่มีความยาวขนาด 20 เมตร ท่านโชกุนมินาโมโต โยริโตโม ได้ให้ความอนุเคราะห์ ในการเคลื่อนย้ายไม้เหล่านั้น ซึ่งการขนส่งใช้ทั้งทางบกและทางเรือ เป็นระยะทางกว่า 550 กิโลเมตร”ในสมัยกลางของญี่ปุ่นเป็นยุคที่อำนาจทางการเมืองกระจัดกระจายอยู่ที่ขุนศึกต่าง ๆ เกิดสงครามครั้งย่อย และครั้งใหญ่ขึ้นหลายครั้ง ในปี 1567 ได้เกิดสงครามกลางเมือง และมีการเผาทำลายพระวิหารหลวงวัดโทไดจิอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ความพยายามของพระอาจารย์โจเกน และโชกุนมินาโมโต โยริโมโต สูญสลายไปกับกองเพลิงเมื่อโทคุกาวา อิเอะยาสุ (Tokugawa Ieyasu) ได้ยึดอำนาจและสถาปนาศูนย์อำนาจของ โชกุนตระกูลโทคุกาวาที่เอโดะ (Edo ชื่อเดิมของโตเกียว) จนอำนาจทางการเมืองมีเสถียรภายในสมัย โชกุนคนที่ 3 อิเอะมิทสึ (Iemitsu) และในสมัยโชกุนคนที่ 5 สุนาโยชิ (Tsunayoshi) ซึ่งได้ประสบความสำเร็จในการสร้าเงสถียรภาพทางเศรษฐกิจบนพื้นฐาน ของการเกษตร ท่านโชกุนสุนาโยชิ เป็นผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองมีความมั่นคงแล้ว ท่านจึงได้ร่วมกับพระอาจารย์โคเกะ (Kokei) บูรณะวัดโทไดจิอีกครั้งหนึ่งการบูรณะวัดโทไดจิครั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการที่ยาวนาน มีความยากลำบากในการหาวัสดุอุปกรณ์ จนพระอาจารย์โคเกะมรณภาพ และท่านโชกุนสุนาโยชิ ได้อสัญกรรมไปก่อน การบูรณะได้เสร็จสิ้นในปี 1709 ซึ่งก็คืออาคารวิหารหลังปัจจุบัน พระวิหารหลวงที่ประดิษฐานองค์ไดบุทสึนั้น ประกอบด้วยเสา 62 ต้น หลังคาซ้อน 2 ชั้น แต่เพดานภายในพระวิหารมี 3 ระดับ โดยระดับที่สูงที่สุดอยู่บริเวณเหนือพระเศียรองค์ไดบุทสึ 







บรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีทีวัดโทไดจิ




ทะเลสาบเล็กๆในวัด



กวางน้อยน่ารักมากๆ เลย




พระไดบุทสึนั้น เป็นพระพุทธรูปแทนองค์พระไวโรจน์พุทธเจ้า (หมายถึงพระพุทธเจ้าที่มี พระรัศมีส่องสว่างไปทั่วจักรวาลดุจดังพระอาทิตย์) มีการนับถือกันมากในจีน เกาหลี และญี่ปุ่น สร้างด้วยบรอนซ์ มีส่วนผสมคือทองแดง refined wax ทองคำ เมอคิวรี และวัสดุอื่น ๆ นำหนักองค์พระพุทธรูปประมาณ 500 ตัน โดยขนาดขององค์ไดบุทสึนั้นส่วนของพระองค์สูง 14.98 เมตร เฉพาะพระเศียรสูง 5.41 เมตร ความยาวของพระเนตรแต่ละข้าง 1.02 เมตร ความยาวของพระกรรณ 2.54 เมตร ดอกบัวที่ฐานแต่ละกลีบมีความสูง 3.05 เมตร พระพุทธรูปอยู่ในปางนั่งขัดสมาธิเพชร ทรงแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระพาหา พระหัตถ์ขวาอยู่ในท่ามุทรา ความงดงามของพระพักตร์นั้น งดงามเกินกว่าจะหาคำบรรยายได้ ได้เคยมีผู้บรรยายความประทับใจเมื่อเห็นพระพักตร์ขององค์ไดบุทสึไว้ว่า “พระโอษฐ์นั้นแย้มเหมือนกำลังจะมีกระแสพระดำรัส” (As one stares at the face of the Buddha, one gets the feeling that statue will begin talking at any moment) (จากหนังสือ Nara Special Photo Guide) อย่างไรก็ตามองค์ไดบุทสึนั้นได้แสดงความจริงของศรัทธา 2 อย่างคือ บุคคลที่มีความศรัทธาต่อ พระพุทธศาสนา เมื่อได้เห็นองค์พระพุทธรูปแล้วเกิดความสงบใจ และความศรัทธาที่สามารถสร้างสรรค์ ศิลปวัตถุอัน ยิ่งใหญ่นี้ขึ้น


กวางน้อยทำหน้าตาน่ารักฝุดๆ





บรรยากาศรอบๆวัดใบไม้กำลังเปลี่ยนสี




คลองเล็กๆในวัดโทไดจิ


ลาน ณ วัด โทไดจิ


กวางน้อยน่ารักยอมให้ถ่ายรูป




ภาพบรรยากาศเล็กๆน้อยๆ ในหมู่บ้านชิราคาวาโกะ



ภาพบรรยากาศ หนึ่งในการแสดงไฟในฤดูหนาวของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก



Shared


บริษัท เอ็กซ์คลูซีฟ เจอร์นีย์ จำกัด
 34/61 Moo 5 Chichakorn Village Kanchanapisek Road T.Saothonghin Nonthaburi 11140
 02-158-7065 Ext.101-112
 info@ej.co.th
 ej.co.th
 exclusive2thailand.com
 tours2japan.com

Member Of   
2022 ejtours2 Rights Reserved