"โตเกียวรอบเดียวไม่เคยพอ"

ทริปนี้เราเดินทางโดย สายการบิน สกู๊ตนะครับ (SCOOT) หลังจากเช็คอินกันเรียบร้อยแล้วก็เดินมารอที่เกทเพื่อขึ้นเครื่อง ที่จะเดินทางสู่ นาริตะกันเลยยย

สำหรับเกทของสกู๊ตที่ผมได้รับตอนเช็คอินนะครับ จะเป็นเกทที่ 26 ครับ เดินไปจนเกือบสุดทางเลยแหะๆ

เมื่อเราเดินทางมาถึงญี่ปุ่นแล้ว ก็พบกับอากาศที่เย็นมากก ซึ่งต่างจากฝั่งไทยโดยสิ้นเชิง ดีแล้วที่ผมพกเสื้อกันหนาวหนาๆใส่กระเป๋าสะพายเอาไว้เลย กันไว้ก่อนครับ

จากนั้นเราก็เดินต่อไปเพื่อไปยังจุดรับกระเป๋า (ขออภัยภาพไม่ชัดเพราะใช้โทรศัพท์ถ่ายแหะๆ)

สำหรับการเดินไปรับกระเป๋าก็ไม่ยากครับ เดินตามป้ายรูปกระเป๋า ที่เขียนว่าArrivals ไปเรื่อยๆป้ายจะใหญ่มากๆครับ ไม่ยากเลยยย

พอเดินมาเรื่อยๆ เราจะเจอกับวิว ที่สามารถมองเห็นเครื่องบินได้แบบใกล้ชิด ซึ่งเครื่องบินจะจอดให้เห็นกันเลย ลำเป็นๆ ลำใหญ่ๆ สำหรับเด็กๆน่าจะตื่นตาไม่เบาเลยครับ

ดังในรูปเลยครับเครื่องบินลำโตๆ จอดเรียงกันแบบนี้เลย ผมนี่แทบเกาะกระจกดูเลยครับ เพราะชอบดูเครื่องบินเหมือนเด็กๆเลยย

พอเสร็จสิ้นพิธีด้านใน จากตม. มาDeclare ของก็เรียบร้อย รอดทุกด่าน เพราะว่าไม่มีของต้องสงสัย อย่าพกอาวุธไปนะครับ ของมีคมด้วย หาซื้อที่นู่นหรือยืมจะดีกว่าครับผมจะได้ออกมาข้างนอกอย่างสบายใจครับ

นี่คือคณะของทริปที่ผมไปนะครับ ทั้งหมด40ท่าน เต็มบัสกันไปเลย อากาศหนาวๆก็อบอุ่นกันไปเลยทีเดียว ภาพนี้คือกำลังรอรถบัสมารับเพื่อ จะเข้าไปที่ทะเลสาบอะชิต่อไปครับผม

ระหว่างเดินทางเราก็จะมีไกด์คอยแนะนำเส้นทาง แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและข้อมูลต่างๆภายในประเทศญี่ปุ่นคร่าวๆ ให้ลูกทัวร์ในคณะได้ฟังกัน

ก่อนอื่นเราเดินมาทานข้าวกันก่อนที่ร้านอาหารก่อนที่จะเข้าไปที่ทะเลสาบอะชินะครับ ได้เวลาเที่ยงพอดี กองทัพต้องเดินด้วยท้องน้าาา

ร้านนี้มีป้ายTAX FREE ซึ่งถ้าหากซื้้อสินค้าครบ5400 เยน แล้วซื้อสินค้าชิ้นต่อๆไปจะได้รับการยกเว้นค่าภาษีคร้าบ

 หลังจากทานอาหารแล้วก็เดินทางมาต่อกันที่  Hakone กันเลย เพื่อที่จะขึ้นเรือโจรสลัดเพื่อชมทะเลสาบอะชิ ซึ่งตอนนี้อากาศหนาวมากๆครับ มือเย็นจับโทรสัพท์ยากมากกว่าจะได้แต่ละรูป 


ถ่ายรูปกันสักหน่อยก่อนที่เรือจะมาเดี๋ยวจะวิ่งกันไม่ทันนะคร้าบบบ เพราะเรือจะจอดแต่ละท่า ใช้เวลาไม่นานมาก เพราะว่าเรือจะออกตลอดครับ ไปจอดอีกท่านึงซึ่งอยู่ห่างกันไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก เป็นท่าที่รถบัสเราจะวนไปรอรับที่ด้านนู้นด้วยครับ

อากาศก็เย็น ยิ้มก็ลำบาก ตึงกันไปหมดเลย แต่เพื่อรูปภาพที่สวยของเรา เราต้องสู้กับมันเอ้ายิ้มมม

 เอาหละเดินทางมาถึงญี่ปุ่นแล้วที่แรกเราไปที่ทะเลสาบอะชิ เพื่อจะขึ้นเรือชมวิวรอบทะเลสาบอะชิ แต่ทว่า เรามาถึงปุ๊บก็เห็นใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี ซึ่งยังไม่หมดช่วง เพราะที่ผมไปนั่นเป็นวันที่1-5 ธันวาคม ที่ผ่านมานี้เอง ยังคงเห็นใบไม้เปลี่ยนสีอยู่หลายจุดเลยครับ ซึ่งที่นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดที่ยังสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ อยู่นั่นเองครับ

 เอาหละเรือมาแล้วด้านหลังนั่นเองงงงง กำลังจะไปต่อแถวขึ้นเรือ พอเรือมาก็ขอถ่ายรูปกับเรือกันสักหน่อย เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งนึงเราเคยเป็นผู้พิชิตเรือโจรสลัดแห่งทะเลสาบอะชินะคร้าบ


นี่แหละครับเรือที่ว่า คือเรือโจรสลัดแห่งทะเลสาบอะชิ เรือโจรสลัดมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ เรือโรไวยัล เรือเพอร์เซอร์ และเรือวิคตอรี มีท่าเรือหลักสำคัญอยู่ 3 จุด คือ ท่าเรือฮาโกเน่มาจิ ท่าเรือโมโตะ ฮาโกเน่ และท่าเรือโทเง็นได ค่ะที่ท่าเรือโทเง็นไดนี้เป็นทางขึ้นหลักสำคัญของภูเขา โอวาคุดะนิ โดยขึ้นกระเช้า ฮาโกเน่ไปลงที่สถานีโอวาคุดะนิ แต่ละจุดท่าเรือจะมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจแตกต่างกันไป เช่น จากท่าเรือ โมโตะฮาโกเน่ถึงเมืองฮาโกเน่ก็จะมีต้นไม้สนที่มีอายุหลายร้อยปีเรียงรายอยู่ข้างถนนนักท่องเที่ยวสามารถเดิน เล่นได้ นอกจากนี้ยังมีวัดชินโตฮาโกเน่ มีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ สวนสาธารณะ ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก เป็นต้นไว้ให้แวะชมแวะซื้อกันอีกด้วย


หลังจากขึ้นจากเรือที่ทะเลสาบอะชิมาแล้ว ทางเราก็เดินทางต่อกันไปที่ทางขึ้นกระเช้าสู่หุบเขาโอวาคุดานิ เราจะพาทุกท่านไปชิมไข่ดำ ซึ่งมีการเล่าต่อๆกันมาว่าถ้าหากใครมาที่นี่แล้วได้ "กินไข่ดำ" ที่นี่แล้วจะมีอายุยืนยาวเพิ่มถึง7ปีกันเลยน้า หากใครมาที่นี่แล้วไม่ได้กิน ก็จะถือว่าพลาดอย่างแรงเลยยย 

หลังจากที่เราขึ้นกระเช้ามาแล้วถึงสถานีของหุบเขาโอวาคุดานิเรียบร้อย เราก็เดินกันออกมาถึงด้านหน้าของหุบเขา ที่มีควันกำมะถันพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน เป็นควันสีขาวสวยงาม ราวกับหมอก ซึ่งอากาศที่นี่หนาวมากๆ ลมเย็นและแรงมากเช่นกัน ผมแนะนำว่าถ้าหากมาในฤดูหนาวนี้ เตรียมถุงมือกับผ้าพันคอมาด้วยนะครับ จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้เยอะเลยและจะเที่ยวอย่างมีความสุขครับ ไม่ป่วยอีกด้วย

สัญลักษณ์แห่งหุบเขานี้ก็คือ ไข่ดำ นั่นเองงง เปรียบเสมือนอนุสาวรีย์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ใครๆมาก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ และผมเองก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันสักรูปสองรูป ก่อนที่จะรีบเดินไปหาที่หลบลมเพราะหนาวมากๆ ครับ

พอเดินต่อมาก็จะเจอร้านของฝากซึ่งคนจะต่อแถวเพื่อซื้อ ไข่ดำของที่นี่ ราคาก็จะอยู่ที่ 500Yen ต่อไข่5ฟอง ผมแนะนำว่าอย่าซื้อกลับมาฝากคนที่บ้านนะครับ ไม่ใช่ว่าจะกลัวเขาอายุยืน แต่มันจะเสียสะก่อนครับ อิอิ แนะนำให้ทานให้หมดตรงนั้นเลยครับ อิ่มกันถ้วนหน้าแน่นอนน คอนเฟิร์ม !! 

ข้างในจะมีของฝากเยอะแยะเลยครับเริ่มต้นตั้งแต่ ร้อยเยน จนถึงหลักพันเยน ซึ่งของฝากหลากหลาย ทั้งขนมเค็ก หรือ ขนมที่มีเฉพาะที่นี่ ทำเลียนแบบรูปไข่ดำ ก็มี ถ้าใครมาที่นี่ผมว่าต้องลองเข้าไปช็อปกันสักหน่อยนะครับ เดี๋ยวเขาจะว่ามาไม่ถึงน้าา 

หลังจากนั้นผมก็กลับเข้าสู่โรงแรม ซึ่งโรงแรมที่เราพัก ก็คือ Sun Plaza Yamanakako Hotel และโรงแรมนี้ก็มี Onsen !! ย้ำ Onsen !!! ให้ทุกท่านได้ผ่อนคลายกันด้วยกันอาบน้ำแร่ออนเซ็นกันอย่างจุใจ เปิดให้บริการตั้งแต่เช้า ยันดึกดื่นกันไปเลย แต่ถ้าหากใครไม่เคยแช่ ผมแนะนำว่า อย่าแช่เกิน5นาทีครับ เพราะร่างกายเราจะปรับตัวไม่ทัน เดี๋ยวจะหน้ามืด แล้วอันตรายครับ ข้อดีก็มี ข้อเสียก็มี ต้องฟังกฏกติกาการใช้บริการดีๆน้าาา

หลังจากตื่นเช้ามาเราก็พบกับวิวหน้าโรงแรม ที่ดูเหมือนจะเล็กๆ และธรรมดามากๆ ไม่มีอะไรให้สนใจเลย แต่ !!! แต่ !!! รบกวนดูภาพด้านล่างต่อไปนี้ ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายจากโรงแรม โดยไม่แต่งอะไรเลย แล้วทุกท่านจะอึ้งกับภาพที่ได้จากโรงแรมเล็กๆนี้ 

แท่แด๊นนนนนนนนนน ฟูจิซังงงงงง ฟ้าเปิด ไม่มีเมฆบัง สวยใช่ไหมล้าาา นี่คือวิวที่ผมสามารถถ่ายได้จากโรงแรม บนชั้น3 ของโรงแรมนะครับผมย้ำเลย ว่าที่ชั้น3 แล้วทุกท่านจะได้เห็นกับฟูจิเต็มๆใบแบบนี้เลย หายากนะครับโอกาศที่จะไปแล้วจะได้พบกับฟูจิเต็มใบแบบนี้ ถือว่าโชคดีกันเลยทีเดียวหละครับ

 ฟูจิซังงงง สวยงามมากๆครับ หลังจากที่ผมถ่ายภาพนี้เสร็จก็รีบบวิ่งลงไปด้านล่างเพื่อขึ้นรถ เพื่อที่จะไปหาฟูจิซังตัวเป็นๆที่ชั้น5นี่แหละครับ จากที่เราเห็นกันไกลๆ ก็ได้มาใกล้กัน และผมก็ได้พบกับเธอจนได้สิน่าาา

แท่แด๊นนนน !!!! คณะผมมีโอกาศได้ขึ้นมาถึงชั้น5กันเลยทีเดียว อากาศเย็นจนติดลบ วันที่ผมไปนั้นเจออากาศ -4 ครับ ไม่อิงนิยาย ลมพัดแทบปลิวครับบอกเลย แนะนำสะพายกระเป๋าถ่วงเอาไว้เลยย เตรียมที่ปิดหูไปด้วยนะครับ อากาศหนาวเย็นมากๆ ลงจากรถมาได้รีบวิ่งหาที่หลบกันเลยทีเดียวกว่าจะทำใจออกมาถ่ายรูปได้ 

นี่คือบรรยากาศสำหรับรอบๆที่มีคณะทัวร์มาเที่ยวด้วยกัน ส่วนใหญ่ คนไทยครับ คนไทยจริงๆ คนไทยครองฟูจิครับ แทบจะปักหลัก ปักฐานกันที่นี่เลยก็ว่าได้ จนเจ้าของร้านขายของที่บนฟูจินั้น เค้าต้องประกาศขายกันด้วยภาษาไทยเลยว่า " สวัสดีครับ เชิญครับ ขนมอร่อยครับ สวัสดีครับ " 

 หลังจากเดินดูของ ถ่ายรูป สักพักนึงก็ทนไม่ไหวครับ อากาศหนาวเกิน ซึ่งผมเตรียมตัวไปไม่พร้อม เลยทนหนาวไม่ได้นานครับ เลยรีบหนีมาขึ้นรถบัสดีกว่าา ที่จอดรถบัสก็จะอยู่ไม่ห่างจากที่เราไปซื้อของเท่าไหร่ครับ วิ่งลงมาข้างล่างก็เจอเลยย แต่ต้องระวังนะครับ รถบัสค่อนข้างเยอะ อันตราย ครับ

 หลังจากเราลงจากฟูจิซังปุ๊บ เราก็ตรงดิ่งเข้าที่ โตเกียวกันเลย ซึ่งที่แรกของเรานั้นก็คือวัด เซ็นโซจินั่นเอง หรือว่าที่ทุกคนรู้จักกันว่า วัดอาซากุสะ ครับ  
วัดเซนโซจิ(Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนนิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโตเกียว ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะและเที่ยวชมได้ทั้งตัววัดและบริเวณภายนอก โดยจะมีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายระหว่างทางครับผม

สัญลักษณ์ของวัดอาซากุสะก็คือโคมสีแดงใบใหญ่ ที่ตั้งเด่นตระหง่า อยู่ทั้ง3จุดของวัด ตั้งแต่ทางเข้า จนถึงศาลาใหญ่ ของวัดเลยครับ

วันที่ผมไปนั่นเป็นวันอาทิตย์ครับ คนค่อนข้างเยอะซึ่งจะมีทั้งวัยรุ่น คนไทย คนญี่ปุ่น เต็มวัดกันไปหมดเลยครับ ถ้าหากมากันเป็นหมู่คณะผมแนะนำว่า เดินแล้วดูแลตัวเองดูแลกรุ๊ปตัวเองด้วยครับ ทั้งของขาย ทั้งคนเยอะ จะเดินปะปนกันไปหมด เดี๋ยวจะพลัดหลงกันสะเปล่าๆเดี๋ยวจะเที่ยวกันไม่สนุกครับ

ส่วนภายในวัดนี้จะสามารถมองออกไปเห็นวิวของโตเกียวสกายทรีได้เลยครับ จะตั้งตระหง่านให้เห็นอยู่กันแบบในรูปเลยครับ  

วัดอาซากุสะนี้จะมีกระถางธูปไว้สำหรับท่านที่เชื่อในเรื่องถ้าหากว่ามาที่นี่แล้วต้องไหว้ขอพร แล้วจะได้มาอีกครั้ง แน่นอนน ถ้าใครมีความเชื่อในเรื่องนี้ผมแนะนำว่าต้องไหว้เลยครับ แล้วจะได้มาเที่ยวที่ญี่ปุ่นกันอีกครับ 

คนเยอะมากครับในช่วงวันอาทิตย์ที่ผมไปต้นเดือนธันวาคมด้วย อากาศกำลังเย็นสบายครับ เลข2หลักต้นๆ ไม่หนาวจนเกินไป ไม่ร้อนจนเกินไป เดินเที่ยวได้ทั้งวันครับสำหรับที่ย่านนี้ ของขาย ของกิน ของฝาก เพียบครับผม 

 หลังจากไปวัดอาซากุสะกันแล้วก็เดินทางกันไปช็อปปิ้งต่อที่ ย่าน ฮาราจูกุ กันต่อเลยครับ เดินทางถึงแล้วก็นัดจุดขึ้นรถอีกทีนึง ก่อนจะแยกย้าย ก็พากันช็อปปิ้งตามอัธยาศัยครับ สำหรับย่านฮาราจูกุ จะเป็นย่านวัยรุ่น ช็อปปิ้ง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ช็อปแบรนเนมต่างๆ ซึ่งจะมีอยู่โดยรอบๆของย่านนี้เลยครับ เดินกันเพลินไม่เบื่อแน่นอน 

มีช็อปไลน์สโตร์ด้วยน้าาา หากใครสาวกของไลน์พี่หมีบราวน์หรือเจ้าโคนี่ อย่าพลาดที่จะเข้าไปชมหรือเลือกซื้อสินค้านะครับผม หวังว่าจะได้ของที่ถูกใจกันกลับมาน้าา 

ย่านชินจูกุนี้จะมีถนนอยู่ซอยนึงที่สองข้างทางจะมีร้านค้า ขายของล่อตาล่อใจพร้อมป้ายเซล ลดราคาแข่งกันเต็มไปหมด เลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว ตั้งแต่ของกินยันรองเท้า และก็เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งชุดคอสเพลย์ต่างๆ เพียบเลยครับ 

หลังจากที่เดินช็อปปิ้งกันจนครบเวลาแล้วถึงเวลาขึ้นรถ ก็จะพาทุกท่านเข้าที่พักกันเพื่อพักผ่อน อีกวันนึงเป็นวันอิสระของพวกเรา ก็อยู่ที่ทุกท่านว่าเลือกจะพักผ่อนหรือจะไปช็อปปิ้งที่ไหน แต่สำหรับผม ไปต่อแน่นอนน ตามมาดูกันครับว่าผมจะไปที่ไหน  

เอาหละครับ สำหรับวันฟรีเดย์ ของพวกผมนั้น จะนั่งรถไฟด่วน สายSkyliner เพื่อเข้าสู่เมืองโตเกียวกันนะครับ ค่ารถไฟก็ราวๆ 2450เยน/ท่าน ต่อรอบนะครับ ไปกลับก็ราวๆ5900เยน ครับผม แต่สะดวกสบายมาก ใช้เวลาเดินทางเพียงขาละ40นาทีเท่านั้น สำหรับการเข้าสู่เมืองโตเกียว

เอาหละครับเราถึงตัวรถไฟกันแล้วหลังจากเดินกันมาจนถึงชานชาลา รถไฟก็มาพอดีเป๊ะตรงตามเวลาที่บอกในตั๋วที่เราซื้อมา ว่ารถไฟจะมาจอดตอนเวลาเท่าไหร่ ก็มาจอดเป๊ะๆเลยครับ 

 สำหรับด้านในของรถไฟ ดูหรูหราอลังการมากครับ เดินทางกันเหมือนนั่งเครื่องบินเลยครับ ซื้อตั๋วปุ๊บมีที่นั่งปั๊บ เราขึ้นจากสนามบินนาริตะครับ ไปลงสถานี Nippori เพื่อต่อJR Pass เข้าสู่ชินจูกุครับ 

มีหน้าจอบอกสถานีพร้อมบอกระยะทางและแผนที่ของแต่ละสถานีที่เดินทางกันจนถึงปลายทางเลยครับ 

นี่ครับรถไฟSkyliner ของเราที่นั่งมา จะเป็นรถไฟ คล้ายๆหัวกระสุน ซึ่งทำความเร็วได้พอสมควรเลยครับ เดินทางสะดวกสบาย นั่งนิ่มเลยครับ ไม่ต่างจากเครื่องบินเลยครับผม 

เมื่อเราเดินทางมาถึงสถานี Nippori ก็เดินขึ้นมาเพื่อต่อJR Pass สายสีเขียวเพื่อเข้าสู่ชินจูกุ เพื่อช็อปปิ้งในวันฟรีเดย์ของเราครับ 

ออกจากโรงแรม10โมง เดินทางเข้ามาถึงสถานี Nippori ก็เกือบเที่ยงพอดี เพราะรวมๆเวลานั่งรถบัสจากโรงแรมเข้าสู่สนามบินด้วยครับ 

เราเดินทางถึงสถานี Shinjuku แล้วก็เดินกันต่อเพื่อขึ้นไปสู่ย่าน Shinjuku คนเยอะมากครับสำหรับสถานีรถไฟฟ้า ต้องเดินกันดีๆครับไม่งั้นพลัดหลงแน่นอน เพราะต่างคนต่างเดิน สวนกันเต็มไปหมด 

พอถึงด้านบนแล้วก็ทำการบรีฟสถานที่กันหน่อยครับว่าเดินทางยังไง นัดเจอกันตรงไหนกี่โมง ของเราคือปล่อยให้ช็อปปิ้งจน5โมงเย็น แล้วค่อยกลับมาเจอกันที่จุดเดิม เพื่อเดินทางกลับเข้า โรงแรมครับ หากมืดไปเดี๋ยวรถShuttle Bus จะหมดสะก่อนครับ 

 อากาศกำลังสบายๆครับ 11 องศา เดินชิวๆเหงื่อไม่มีออก เดินช็อปกันชิวๆเลย 

สิ่งที่เป็นจุดสังเกตุของที่นี่ก็คือเจ้าก๊อตซิลล่าที่อยู่บนหลังคาตึกนั่นแหละ ที่ทำให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนของย่านชินจูกุ และด้านขวานั่นคือ ตึกดองกี้ ที่ขายขนมของทุกๆคน ราคาถูกมาก และของเล่นต่างๆเพียบเลยครับในร้าน ลองไปเยี่ยมชมและเลือกซื้อขนมกันได้ตามอัธยาศัยเลยย คุ้มแน่นอนน 

เจ้าพี่ก๊อตซิลล่าตัวบะเริ่มเลยครับสำหรับเด็กๆคงเป็นที่ชื่นชอบและต้องมีรูปติดกลับบ้านแน่นอนครับไม่น่าพลาด 

บรรยากาศโดยรอบของเจ้าดองกี้ Don Quijote ที่ทุกๆท่านรู้จักกันดีนั่นแหละครับ   

เจ้าพี่ก๊อตซิลล่านี่อยู่โดยรอบของตึกที่เป็นโรงหนังในตัวอาคาร เหมือนว่าเจ้านี่จะเป็นสัญญาลักษณ์ของย่านนี้ไปสะแล้ว  

 บรรยากาศโดยรอบของย่านชินจูกุนะครับ จะเป็นเมืองที่มีสีสัน ที่มีทั้งสินค้า หลากหลาย ขนม หรืออาหาร หรือแม้กระทั่งช็อปปิ้งเสื้อผ้ารองเท้าและกระเป๋า จะกระจายกันอยู่ภายในย่านแห่งนี้ ให้ทุกท่านได้ตามหากันครับ

ญี่ปุ่นเป็นเมืองแห่งตู้หยอดเหรียญเลยก็ว่าได้ จะมีตู้ต่างๆให้หยอดกันทั่วเมืองเลย ทั้งกาชาปอง ทั้งตู้กดน้ำ หรือของเล่นต่างๆ  

สัญลักษณ์ของตึกดองกี้ก็คือ เจ้าเพนกวิ้นที่อยู่บนยอดตึกเช่นเดียวกับเจ้าก็อตซิลล่าที่อยู่บนหลังคาตึกเหมือนกันนั่นเองครับ แต่เจ้าดองกี้จะอยู่ด้านหน้าของตึก เจ้าก็อตซิลล่าครับ 
  
เอาหละครับเมื่อช็อปปิ้งกันจนถึงเวลา 5โมงเย็นก็ต้องอำลากลับสู่ที่พัก ก่อนหละครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแต่เช้ามืดเลย ไฟล์ทบินของเจ้าสกู๊ตเนี่ย 9โมง35 ต้องไปถึงแต่เช้าเพื่อต่อคิวเช็คอินกันแถวยาวแน่นอน

ขากลับเราก็กลับเส้นทางเดิมก็คือนั่งรถ JRpass จากShinjuku มาลงNippori แล้วต่อรถไฟด่วน Skyliner เพื่อเข้ายังสนามบินนาริตะครับ แล้วรอShuttle Bus เพื่อเข้าสู่โรงแรมครับ  

โรงแรมที่เราพักมาตลอด2คืนสุดท้ายก็คือโรงแรม Radisson ครับเป็นโรงแรมระดับ4ดาว 
ใกล้สนามบินนาริตะ เดินทางสะดวกสบาย มีรถShuttle Bus รับเข้าและส่งออกสนามบินตลอดครับ จะมีตารางการเดินรถของทางโรงแรม ต้องสอบถามทางFront Office นะครับ 

ได้เวลาเดินทางออกสู่สนามบินแล้วครับ เดินทางกลับสู่บ้านเกิดเรากันเถอะ เมื่อมีการท่องเที่ยวก็ต้องมีการเดินทางกลับ และนำความประทับใจกลับไปด้วยกัน  

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับ สำหรับบล็อกของผม " โตเกียวรอบเดียวไม่เคยพอ " เดินทางกี่ครั้งก็ยังคิดถึงโตเกียว อยากให้ทุกท่านได้มาสัมผัสประสบการณ์เช่นเดียวกับผมนะครับ สนุก ครบทุกอารมณ์แน่นอน และผมขอขอบคุณสายการบินสกู๊ตด้วยที่ ให้พาเราเดินทางไปกลับ อย่างปลอดภัยและนิ่มนวลมากๆ ครับ 



Shared


บริษัท เอ็กซ์คลูซีฟ เจอร์นีย์ จำกัด
 34/61 Moo 5 Chichakorn Village Kanchanapisek Road T.Saothonghin Nonthaburi 11140
 02-158-7065 Ext.101-112
 info@ej.co.th
 ej.co.th
 exclusive2thailand.com
 tours2japan.com

Member Of   
2022 ejtours2 Rights Reserved